9.05.2553



POH-CHANG Cerebration Project
Location : Poh Chang Campus(Department of Design Building) - Backdrop
Credit :
≯ Grapic Designer - Anuwat Khaomanit

Client : POH-CHANG Academy of Arts and Craft

Cause's Civic duty Project


LOGO DESIGN



Mg. Ad.
- Version #1 Policeman
- Version #2 Doctor
- Version #3 Businessman


Poster Design



Folder Design
Alternative #1 Attitude of Student
Alternative #2 Attitude of People

Postcard Design

Cause's Civic duty Project (หน้าที่พลเมือง)
Concept : Choose The Better One for The Better Life
Credit :
▨ Creator - Anuwat Khaomanit
≯ Grapic Designer - Anuwat Khaomanit
◎ Photographer - Supachok Pichetkul
Client : โครงการคุณธรรมนำไทย

8.17.2553

Somewhere Thai Project


















Project to part of Thailand Can Do (TCD) Project
Concept : I wish to be a foreigner and then say "I love Thailand & Our King"
Credit :
▨ Creator - Anuwat Khaomanit
◎ Photographer - Supachok Pichetkul
Client : Practical Design Studio

7.24.2553

ประเทศไทยไม่ใช่ของเรา?!? (1)

นี่เป็นบทความแรกๆ ในชีวิตที่ผมได้เขียนในเรื่องของการเมืองการปกครองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมันอาจจะตรงใจกับคนบางคน หรือบางกลุ่มหรือเปล่าผมไม่ทราบ และผมไม่สนใจ เพราะผมเขียนตามทัศนคติ ความรู้และความเชื่อที่ผมมี วันช่วงเวลาไม่นานมานี้เกิดเหตุการณ์ที่คนไทย และคนทั่วโลกไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย เพราะประเทศเข้าสู่ภาวะมิคสัญญี อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผมเห็นจากภาพข่าวด้วยความมึนงง และเกิดคำถามขึ้นต่างๆนานา เราเห็นภาพทหารใช้อาวุธหนักเข้าประหัดประหารประชาชน มีภาพกอบกำลังไม่ทราบฝ่ายหรือ กลุ่มชายชุดดำ ที่ก็เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบว่าเป็นฝ่ายไหน มาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร มีการเผาตึก บ้านเรือนของประชาชน รวมไปถึงสถานการณ์ที่ส่อไปในทางที่หมิ่นเหม่ต่อการเป็นรัฐที่สูญเสียความเป็นรัฐ อย่างไรก็ตามภาพข่าวต่างๆบนสื่อที่เป็นฟรีทีวี เป็นภาพที่เราแทบจะไม่เห็นสถานการณ์ที่เป็นจริงซักเท่าไหร่นัก หรืออาจจะเรียกได้ว่า "ดูช่องไหนก็เหมือนกัน" พร้อมกับการตัดสลับไปที่รายการพิเศษของทาง ศอฉ. (ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉิน) เป็นช่วงเวลาที่รัฐใช้สื่ออย่างเต็มที่และฟุ้มเฟือยที่สุดที่เคยเห็นมา มีการโต้ตอบกันโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมีอที่กระทำโดยฝ่ายรัฐ ซึ่งทุกประเด็นไม่มีการตรวจสอบ การคัดค้านจากฝ่ายที่ถูกกล่าวหา หรือแม้แต่การมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นจากสื่อเองเลย ในขณะที่สื่อที่รายงานความเป็นจริงของสถานการณ์ถูก ศอฉ. ปิดหมด ถูกบล็อคแม้กระทั้ง Facebook ส่วนตัวของพลเรือน เหตุการณ์ที่รัฐใช้กำลังการกระทำการวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 รัฐใช้วาทะกรรมที่สั้นๆแต่ได้ใจความว่า ขอคืนพื้นที่ เป็นคำที่ดูนิ่มนวล ชวนฝัน และทำให้ทุกคนเข้าใจในทันใดเลยว่า มันไม่ใช่การใช้ความรุนแรงเข้าปะทะกันนะ มันเป็นการแค่เราจะขอคืนพื้นที่เพื่อให้คนกรุงเทพได้ช้อปปิ้งเท่านั้นเอง ซึ่งมันแตกต่างหรือเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่รัฐทำกับประชาชน โดยใช้กำลังทหารและอาวุธหนักมากมายขนาดนั้น ไม่ต่างกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สี่แยกคอกวัวที่มีคนตายมากมาย ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามาจากฝ่ายใดอีก แต่ที่เราทราบคือมีทหารตาย 2 หรือ 3 คนไม่แน่ใจ แต่พลเรือนตาย 25 คน มีการสรรเสริญทหารหาญอย่างกึกก้อง ในขณะที่การสลายการชุมนุมเกิดขึ้นในช่วงเย็นของวันที่ 10 เมษายน 2551 เรื่อยไปจนถึงวันที่ 11 เมษายน 2551 หากวันรุ่งขึ้น คุณไม่ได้ดูข่าว คุณจะไม่รู้เลยว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นที่สี่แยกคอกวัว พร้อมกับวาทะกรรมของรัฐที่เรียกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนั้นว่า การกระชับพื้นที่ เป็นคำที่ฟังแล้วชวนขนหัวลุกไม่หยอก แต่เอาละเรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นจาก 2-3 เหตุการณ์ที่ผมได้เล่ามา ได้มันมีรากเหง้าของปัญหาที่เกิดขึ้นและสั่งสมมานาน ซึ่งผมจะของแสดงความคิดเห็นในย่อหน้าที่สอง
ปัญหาของสังคมไทยจริงๆมาจากไหน? ประเทศไทยทำไมจึงมาถึงจุดที่ลึกที่สุดของวิกฤตได้อย่างไร? เราคนไทยหรือเปล่าที่ทำให้ปัญหาที่เราเผชิญอยู่นี้แก้ไขได้ยากลำบากขึ้น? คำตอบจากผมคือ ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าเราเดินผิดทางหรือเปล่า? แท้จริงแล้วเราต้องการเป็นประเทศที่เป็นทุนนิยมหรือเสรีนิยม หรือพอเพียงนิยม เราต้องการการเลือกตั้งหรือเปล่าหรือต้องการการตรวจสอบ เราไม่เคยตอบตัวเองได้เลย ซึ่งผมจะไม่พิมพ์ในรายละเอียดของเรื่องต่างๆเพราะรู้สึกว่ามีบุคคลที่รู้ในเรื่องราวต่างๆดีกว่าผมมาก และบุคคลเหล่านั้นก็ได้เขียนบทความลงในสื่อต่างๆที่มีช่องทางของตนเองอยู่แล้ว ผมจึงขอเสนอเฉพาะความคิดเห็นของผมเท่านั้น ซึ่งพิมพ์จากสิ่งที่เห็นแล้วกลั่นกรองมาเป็นสิ่งที่พิมพ์ลงไป ก่อนการชุมนุมของคนเสื้อเหลืองที่นำโดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะอุบัติขึ้นในสังคมไทย เรามีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่นักวิชาการบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมาเพราะเกิดจากการรวบรวมความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากประชาชนในทุกสาขาอาชีพ ทั่วประเทศ ก่อให้เกิดนายกคนที่ 23 คือ คุณทักษิณ ชินวัตร ก็ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย มีการฟ้องร้องของ ปปช. โดยคุณกล้าณรงค์ จันทิค ในคดีความการซุกหุ้น ซึ่งคุณทักษิณ ก็ชนะคดีทั้งที่กระทำผิดจริงด้วยวาทะกรรม "ผมบกพร่องโดยสุจริต" โดยศาลรัฐธรรมนูญตัดสินตามกระแสสังคมที่เรียกร้องฮีโร่ที่จะมาช่วยแก้วิกฤตทางเศษฐกิจที่เกิดขึ้นในปี 2540 คุณทักษิณบริหารงานดำเนินนโยบายประชานิยมเป็นที่ถูกอกถูกใจชาวบ้านร้านตลาด โดยเฉพาะกลุ่มคนหาเช้ากินเค้าหรือกลุ่มคนรากหญ้า ที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนกล้าทำหรือคิดจะทำ ในขณะเดียวกันการบริหารงานภายใต้นโยบายประชานิยมที่ได้ทำก็ทำให้ภาระของรัฐก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย บวกกับฐานภาษีของประเทศค่อนข้างแคบ การขึ้นภาษีย่อมกระทบต่อมนุษย์เงินเดือน คนที่มีรายได้มากเพราะบ้านเราเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า และคนเมือง ซึ่งเป็นคนชนชั้นกลางค่อนไปทางสูง คุณทักษิณจึงต้องหาช่องทางในการหาเงินจากทางอื่นแทน เช่น การหาตลาดใหม่ๆ การเพิ่มช่องทางการลงทุนในตลาดหุ้นให้มากขึ้น การนำหวยที่เล่นกันใต้ดินขึ้นมาบนดินโดยรัฐเป็นเจ้ามือรับแทงหมด ลามไปถึงการจะจัดตั้ง Entertainment Complex หรือเรียกกันง่ายๆว่า บ่อนการพนันแบบครบวงจร ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้บรรยายมา ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าขยะแขยงแต่อย่างใด เพราะการกระทำแบบปากว่าตาขยิบไม่เป็นผลดีต่อการบริหารประเทศในระยะยาว สิ่งที่คุณทักษิณทำ ประชาชนจับต้องได้ กินได้ เป็นรูปธรรม ก็อยู่ครบวาระ 4 ปีของการบริหารประเทศ คุณทักษิณกลับเข้ามากุมอำนาจรัฐอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่มีทั้งคนชื่นชมยินดี และคนต่อว่า คนที่ไม่ชอบจากการเสียผลประโยชน์จากสิ่งที่เคยได้ และจากนโยบายที่ดำเนินการผิดพลาด เช่น การทำสงครามกับยาเสพติด คุณทักษิณเข้ามาพร้อมกับสถานการณ์ที่ทำดีเสมอตัว ทำชั่วก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่งเพราะความหวังของประชาชนที่มีต่อรัฐสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมาก ช่วงก่อนการรัฐประหารคุณทักษิณมักถูกกล่าวหาว่า ใช้อำนาจรัฐในการควบคุมสื่อ ทุจริตคอรับชั่น ไม่จงรักภัคดี ซึ่งผมก็ไม่ทราบจริงๆว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆคือ คนเสื้อเหลือง เกิดขึ้นจาการที่คุณทักษิณถอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ที่ดำเนินรายการโดยคุณสินธิ และคุณสโรชา ออกจากผังของช่อง 9 จากการกล่าวร้ายคุณทักษิณเรื่อง แกะหลงทาง และเรื่องการขอความช่วยเหลือทางการเงินที่คุณทักษิณไม่ยอมให้ (เมืองไทยรายสัปดาห์ เป็นรายการที่ผมชอบดูมากๆในช่วงเวลานั้น แล้วเรตติ้งก็เป็นอันดับหนึ่งของสถานี) คุณสนธิเริ่มรวบรวมสมัครพรรคพวกที่ไม่ชอบคุณทักษิณเป็นทุนเดิม สัญจรเพื่อพูดจาปราศัยตามที่ต่างๆ ขยายตัวออกไปโดยเล่นในประเด็นของการทุจริต การขายเอไอเอสโดยไม่เสียภาษี และการไม่จงรักภัคดีเป็นประเด็นหลัก กระแสการต่อต้านคุณทักษิณเริ่มมีมากขึ้นจากการที่กลุ่มชนชั้นกลาง และกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในกรุุงเทพ ทำให้อำนาจรััฐที่รัฐบาลของคุณทักษิณที่ได้ชื่อว่ามีอำนาจค่อนข้างจะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คุมทั้งสภาผู้แทน สภาสูง องค์กรอิสระ หรือแม้กระทั่งอำนาจตุลาการที่ก็มีการเปิดเผยจากกลุ่มคนเสื้อเหลืองว่า คุณทักษิณ ได้ใช้อำนาจที่ตนมีในการวิ่งเต็น ต่อรอง การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อเหลืองปรากฎขึ้นก่อนการที่คุณทักษิณจะประกาศยุบสภา และเป็นรัฐบาลรักษาการ โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ คุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยก็จะยังกลับเข้ามาครองอำนาจรัฐได้เหมือนเดิม เพราะคุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยตระหนักดีว่า ประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทยมี 76-77 จังหวัด และเครือข่ายของคุณทักษิณก็ยังแข็งแกร่งจากการที่บริหารประเทศมากว่าครึ่งทศวรรษ ทำให้การชุมนุมของคนเสื้อเหลืองที่ตอนแรงดูเหมือนว่าจะใช้วิธีการแบบอหิงษา ก็ต้องตั้งหลักใหม่ด้วยการประกาศการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 20 กันยายน 2549 สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มตึงเครียดเพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่คนไทยมีอุดมการณ์ ความคิด และมีการเลือกข้างที่ชัดเจนขนาดนี้ รวมถึงมีข่าวว่ารัฐบาลจะปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมที่อาจจะก่อความรุนแรงเสียหายได้เป็นอันมาก แล้วประเทศไทยก็หาทางออกได้ มีการทำรัฐประหารรัฐบาลรักษาการของคุณทักษิณ ในวันที่ 19 กันยายน 2549 นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นการรัฐประหารรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือตั้งที่ผมถือว่า ชั่วร้ายและป่าเถื่อนที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ซึ่งท่านที่อ่านอาจโต้แย้งผมว่า ไม่เห็นมีการสูญเสียเลย มีแต่เสียงโห่ร้อง ดีใจ ชื่นชมยินดีกับกำลังทหารที่ปิดปากประชาชน ฉีกรัฐธรรมนูญ ล้มการเลือกตั้ง สว. ปิดสื่อทุกสำนัก ใช้อำนาจอธิปไตยที่ประชาชนพึงมีเป็นของตัวเอง แต่งตั้ง โยกย้าย จับกุม คุมขังข้าราชการ นักการเมือง นักวิชาการที่คณะรัฐประหารเห็นว่าเป็นปรปักษ์กับตัวเอง จริงอยู่รัฐบาลที่บริหารโดยคุณทักษิณมีการกระทำที่มิชอบด้วยกฏหมายมากมาย และหลายกรณี แต่ต้องอย่าลืมว่าอำนาจอธิปไตยของไทยเราใช้ระบบตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจ(Check & Balance) เรามีอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ 3 อำนาจนี้ถ่วงดุลและมีขอบข่าย ขอบเขตของอำนาจชัดเจน คุณทักษิณผิดก็ว่าไปตามความผิดให้ศาลท่านพิจารณาตามความเป็นจริง ตามเอกสารหลักฐานที่มีอยู่ ก็ปล่อยให้ดำเนินการกันไป แต่การจะตั้งตนเองมาทำการยึดอำนาจที่ประชาชนพึงมีและเป็นเจ้าของ เพื่อแก้ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพึงกระทำ ปัญหาไม่ได้จบ หรือทุเลาลงไป หากแต่เป็นสร้างปัญหาใหม่ให้แก่ประชาชนและประเทศชาติมากขึ้นไปอีก ผมเชื่อว่าหากวันนั้นไม่มีรัฐประหาร คนเสื้อแดงจะไม่เยอะมากมายมหาศาลขนาดนี้ คนส่วนใหญ่จะลืมคุณทักษิณหรือไม่ก็คุณทักษิณอาจเป็นแค่นักการเมืองคนหนึ่งที่ประชาชนให้รู้สึกแค่เฉยๆ ธรรมดาๆ บ้านเมืองไม่แตกแยกร้าวลึกขนาดนี้ สีสันของประเทศไทยไม่มากขนาดนี้ แต่เอาละ มันได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว ในวันนั้น (ความจริงมีหลายประเด็นที่ผมไม่ได้เล่าเกี่ยวกับสถาการณ์หรือเหตุการณ์ที่นำมาสู่ภาวะทางตันทางการเมืองที่นำมาสู่การรัฐประหาร ซึ่งผมเห็นว่าประเด็นต่างๆเช่น การที่พรรคฝ่ายค้านไม่ร่วมส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ การเกิดม็อบชนม็อบ ฯลฯ) แต่การกระทำของกองทัพและผู้มีอำนาจเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับผม เราจะบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าเราเป็นประชาธิปไตยแต่เป็นในแบบที่ฉันอยากหรือต้องการอยากให้เป็น เราเป็นประเทศที่รักสงบ ยิ้มเก่ง มีความเป็นมิตรไมตรีกับทุกคนแต่เราก็พยายามหรือแสดงท่าทีที่จะลดอำนาจ และแสวงหาอำนาจอื่นให้ไกลออกไปจากมือประชาชนขึ้นเรื่อยๆ เราแก้ตัวง่ายๆด้วยเหตุผม 2-3 ประการ ว่า 1. คนไทยส่วนใหญ่ไร้ซึ่งการศึกษา คือ กล่าวหาว่าคนไทยโง่ 2. รัฐธรรมนูญปี 40 มีความเป็นสากลเพราะใช้หลักการประชาธิปไตยแบบตะวันตกมากเกินไป ทำให้อำนาจรัฐเข็มแข็งเกินไป คือ กล่าวหาว่า รัฐธรรมนูญไม่ควรใช้ได้กับประเทศไทย ทั่งที่นี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ผมได้บอกไว้ตอนแรกแล้วว่า เกิดขึ้นจากความต้องการของคนไทยทั้งประเทศ คือต้องยอมรับก่อนว่า ประเทศเรามีรัฐประหารบ่อยครั้งมาก แล้วรัฐบาลส่วนมากก็เป็นรัฐบาลที่บุคลาการมาจากสายทหารมาก การเมืองมีเสถียรภาพน้อยมาก รัฐบาลพลเรือนล้มหายได้จากได้ง่ายมาก ยังผลทำให้ประเทศของเราโตช้ามาก พัฒนาอย่างลุ่มๆดอนๆมาตลอด ผมจำได้เลยว่า ตอนเด็กๆมีการเลือกตั้งแบบปีเว้นปี การเมืองมีแต่คนหน้าเดิมๆ มาจากตระกูลเดิมๆ นโยบายนี่ยิ่งแล้วใหญ่ไม่มีความเป็นรูปธรรมเลย จับต้องยากมาก เช่น จะพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ทั่วถึง ครบวงจร ซึ่งมันทุเรศมาก เอาละ ก็เกิด รัฐธรรมนูญปี 40 ขึ้น เราใช้มันในสมัยรัฐบาลของคุณทักษิณ เป็นเวลา 5-6 ปีมาเห็นจะได้ เราก็เห็นปัญหาของรัฐธรรมนูญปี 40 กันพอสมควร แต่ด้วยเนื้อหาใจความหลักๆแล้ว ยังถือว่าใช้ได้ แล้วประเทศก็ดูจะพัฒนาขึ้นมาก แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อของรัฐธรรมนูญปี 40 คือ ทำให้เกิด Citizen Active ทางการเมืองขึ้นอย่างกว้างขวาง ประชาชนรู้ในสิทธิของตนเองมากขึ้น ประชาชนมีความเชื่อมั่นในรัฐเพิ่มมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดีเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ ซึ่งผมจะขอละไว้พูดในบทความ ประเทศไทยไม่ใช่ของเรา?!? ตอนที่ 2